วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

1.Mclaren P1 LMรถยนต์นั่งปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูง (Plug-in hybrid sport car) เครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (RMR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัท แม็คลาเรน ออโตโมทีฟ บริษัทสัญชาติอังกฤษ รถได้เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 ที่งานปารีสมอเตอร์โชว์[4]และเริ่มจำหน่ายให้เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ประเทศอังกฤษ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013[5] พี1 ทั้งหมด 375 คันได้ถูกจำหน่ายเรียนร้อยแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2013[6] ส่วนพี1 ที่ปรับปรุงให้เป็นรถแข่งสนาม ใช้ชื่อว่า "พี1 จีทีอาร์" (P1 GTR) ได้เปิดตัวตามมาในปี 2015 ที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ ซึ่งจะจำหน่ายจำกัดจำนวนเพียง 35 คัน และพี1 ทั้ง 375 คัน จะอนุญาตให้เจ้าของเป็นเจ้าของได้เพียงคันเดียวเท่านั้น[7]
เป็น


แม็คลาเรน พี1
McLaren P1.jpg
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตแม็คลาเรน ออโตโมทีฟ
เริ่มผลิตเมื่อตุลาคม ค.ศ. 2013 – ธันวาคม ค.ศ. 2015
(375 คันรวมถึงคันต้นแบบ, GTRs 58 คันรวมกับคันต้นแบบอีก 2 และ LMs 5 คัน รวมกับ XP1LM คันต้นแบบอีกคัน)
รุ่นปีค.ศ. 2014 – 2016
แหล่งผลิตโวคิง, เซอร์รีย์สหราชอาณาจักร
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง(Sports car)
รูปแบบตัวถัง2 ประตู คูเป
โครงสร้างเครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (RMR)
รุ่นที่คล้ายกันแม็คลาเรน 12ซี
แม็คลาเรน 650เอส
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์3.8 L ทวิน-เทอร์โบ M838TQ V8
มอเตอร์ไฟฟ้าMcLaren ECU motor
(904 hp รวม)
ระบบเกียร์เกียร์ดูอัล-คลัช 7 จังหวะ
ระยะทางที่วิ่งได้480 กิโลเมตร (300 ไมล์) (EPA)[1]
ระยะทางที่รถไฟฟ้าวิ่งได้11 กิโลเมตร (6.8 ไมล์) (combined NEDC)[2]
31 กิโลเมตร (19 ไมล์) (EPA)[1]
มิติ
ระยะฐานล้อ2,680 มม. (106 นิ้ว)
ความยาว4,588 มม. (181 นิ้ว)
ความกว้าง1,946 มม. (77 นิ้ว)
ความสูง1,188 มม. (47 นิ้ว)
น้ำหนัก1,547 กก. (3,410 ปอนด์)[3]
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าแม็คลาเรน เอฟ1
พี1 นับเป็นรุ่นตัวสูงสุดของค่าย และเป็นสายการผลิตต่อจาก แม็คลาเรน เอฟ1 ที่ยุติการผลิตไปเมื่อปี ค.ศ. 1998 โดยมีการนำเทคโนโลยีไฮบริดเข้ามาใช้รวมถึงเทคโนโลยีจากสนามแข่งฟอร์มูลาวัน แต่พี1 ก็ไม่ได้คงการออกแบบให้มี 1+2 ที่นั่ง ที่มีที่นั่งตรงกลางเหมือน เอฟ1 สิ่งหนึ่งที่ยังคงไว้เช่นเดิมอาทิ การออกแบบให้เครื่องอยู่กลางลำท้าย และขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง มีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์โมโนค๊อก (Carbon fibre monocoque) ในโครงของรถ ส่วนหลังคาได้ใช้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า "โมโนเคจ" (MonoCage) ซึ่งพัฒนามาจาก โมโนเซลล์ ที่เคยใช้กับ 12ซี สไปเดอร์ ที่มาในช่วงต้นปี ค.ศ. 2012 จุดเด่นของพี1 นั้นเป็นที่ไฟหน้าที่ลอกเลียนมาจากตราสัญลักษณ์ประจำยี่ห้อแม็คลาเรน
พี1 ได้ใช้เครื่องยนต์ McLaren M838TQ twin-turbo 3.8 ลิตร V8 ซึ่งสามารถให้กำลังได้ถึง 727 แรงม้า (542 kW) และแรงบิดที่ 719 นิวตัน/เมตร (531 lb ft) ส่วนเครื่องยนต์ไฟฟ้า สามารถทำกำลังได้ที่ 176 แรงม้า (131 kW) และแรงบิดที่ 260 นิวตัน/เมตร (192 lb ft) เมื่อรวมกันแล้วสามารถทำกำลังได้มากถึง 903 แรงม้า และแรงบิดที่ 978 นิวตัน/เมตร สำหรับในเรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ที่ 2.8 วินาที 0-200 กม./ชม. ได้ที่ 6.8 วินาที และ 0-300 กม./ชม. ได้ที่ 16.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่าแม็คลาเรน เอฟ1 ถึง 5.5 วินาที ในเรื่องของความเร็วสูงสุดของเครื่องยนตร์ไฟฟ้า สามารถทำได้ที่ 349 กม./ชม. (217 ไมล์/ชม.)[8]
สำหรับราคาจำหน่ายเฉลี่ย พี1 สูงกว่า 1.6 ล้านดอลลาร์ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 48 ล้านบาท[9]ส่วนพี1 จีทีอาร์ นั้นมีราคาสูงถึง 2.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 84 ล้านบาทในเงินไทย[10]
2.Lykan Hypersport 
(อังกฤษ: W Motor Lykan Hypersport) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูงเครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (RMR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติเลบานอน ดับเบิลยู มอเตอร์ส ไลแคน ถือเป็นรถรุ่นแรกและรุ่นเดียวของบริษัท ผลิตมาเพียง 7 คันบนโลกเท่านั้น[1] โดยคันแรกเปิดตัวครั้งแรกที่งานกาตาร์มอเตอร์โชว์ ในปี ค.ศ. 2013 นอกจากนี้ยังเป็นไลแคน ยังเป็นซูเปอร์คาร์คันแรกจากภูมิภาคตะวันออกกลางอีกด้วย
ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต
Lykan Hypersport,jpg.jpg
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตดับเบิลยู มอเตอร์ส
เรียกอีกชื่อไลแคน
เริ่มผลิตเมื่อค.ศ. 2013 – 2017
รุ่นปีค.ศ. 2013–2017
แหล่งผลิตเลบานอน
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง(Sports car)
รูปแบบตัวถัง2 ประตู คูเป
โครงสร้างเครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (RMR)
จำนวนประตู2 แบบซุยซายด์ดอร์ (Suicide doors)
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์3.7L ทวิน-เทอร์โบ F6
ระบบเกียร์เกียร์ธรรมดาต่อเนื่อง 6 จังหวะ
เกียร์ดูอัล-คลัช 7 จังหวะ
มิติ
ระยะฐานล้อ2,625 มม. (103.3 นิ้ว)
ความยาว4,480 มม. (176.4 นิ้ว)
ความกว้าง1,944 มม. (76.5 นิ้ว)
ความสูง1,170 มม. (46.1 นิ้ว)
น้ำหนัก1,380 กก. (3,042 ปอนด์)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นต่อไปเฟนย์ ซูเปอร์สปอร์ต
ไลแคน มีชื่อเสียงจากฉากวิ่งโดดข้ามตึก ในภาพยนตร์ เร็ว..แรงทะลุนรก 7 (Fast 7)[2] และจากเกมส์บนโทรศัพท์มือถือเช่น อัสฟัลต์ 8:แอร์โบร์น(Asphalt 8: Airborne), จีที 2 เรซซิ่ง 2 (GT Racing 2), อัสฟัลต์ 9:เลเจนด์ (Asphalt 9: Legends) เป็นต้น[3]
3.Lamborghini Veneno Roadster
Lamborghini ประกาศเผยโฉม Veneno Roadster ซูเปอร์คาร์ตรากระทิงหน้าตาสุดโหดอย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมเคาะค่าตัวก่อนภาษีที่ 3.3 ล้านยูโร
Veneno Roadster ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการดำเนินงานครบรอบ 50 ปีของ Lamborghini มีจำนวนการผลิตจำกัดเพียงเก้าคันเท่านั้น ราคาจำหน่ายสกุลดอลลาร์อยู่ที่ราว 4.5 ล้าน ขณะที่เงินปอนด์อังกฤษอยู่ที่ 2.79 ล้าน คิดเป็นเงินไทยก็ราว 139 ล้านบาทเท่านั้นเอง
อย่างที่เรารายงานไปเมื่อมีภาพหลุดครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วว่า Veneno Roadster จะไม่มีแผงหลังคา แต่จะเป็นรถเปิดประทุนถาวรที่มีเฉพาะบาร์นิรภัยป้องกันการพลิกคว่ำเท่านั้น
Lamborghini ให้คำนิยามของ Veneno Roadster ว่าเป็น “ซูเปอร์คาร์เปิดหลังคาสายพันธุ์แข่ง” ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังบล็อกเดียวกับ Aventador ขนาด V12 ความจุกระบอกสูบ 6.5 ลิตร ให้พละกำลัง 750 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ ISR ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกห้ารูปแบบ
https://img.icarcdn.com/autospinn/body/6517001861972187104.jpg
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของโรดสเตอร์สุดดุดันคันนี้อยู่ที่ 2.8 วินาที ความเร็วสูงสุดทะยานไปได้ถึง 355 กม./ชม.
น้ำหนักตัวรถของ Veneno Roadster มีเพียง 1,490 กก. ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าอยู่ที่ 1.99 กก.ต่อแรงม้าหนึ่งตัว โครงสร้างโมโนค็อกทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนตัวถังภายนอกเป็นพลาสติกเสริมแกร่งคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ภายในห้องโดยสารเกือบทั้งหมดก็ทำด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน
รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับรุ่นคูเป้ทุกประการ แตกต่างกันที่แผงหลังคาที่หายไปเท่านั้น สื่อต่างประเทศบางรายวิจารณ์ว่าดีไซน์ออกแนว “เยอะ” เกินไปหน่อย แต่บางคนก็ชื่นชอบในความดุดัน ของอย่างนี้ต่างคนต่างความคิด
4.Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

          Aston Martin Valkyrie
 ไฮเปอร์คาร์เจ้าถนนซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถแข่ง Formula One โดยราคานั้นคาดว่าเกิน 100 ล้านบาทแน่นอน แต่ความพีคอยู่ตรงที่ถ้าคุณอ้วนขึ้นชีวิตเปลี่ยนทันที

          หลายคนอาจรู้แล้วว่า Aston Martin Valkyrie ก็คือไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดของ Aston Martin ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบ Aston Martin AM-RB 001 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง Formula One โดยผลงานชิ้นนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Aston Martin และทีม Red Bull Racing แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ ใครก็ตามที่สามารถขับไฮเปอร์คาร์คันนี้ได้นั้น "มีเงินอย่างเดียวไม่พอแต่ต้อง...ห้ามอ้วนด้วย"

Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

          
เราไม่ได้อำหรือเอาเรื่องน้ำหนักตัวมาล้อเล่น เพราะนี่คือเรื่องจริงล้วน ๆ เนื่องจากเบาะของ Aston Martin Valkyrie นั้นเป็นแบบ Tailor made โดยใช้ระบบ 3D สแกนรูปร่างไว้ จากนั้นถึงจะทำเบาะออกมาเพื่อให้เข้ารูปพอดีตัวกับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ นั่นหมายความว่าหลังจากที่ถูก Aston Martin สแกนเรือนร่างไปแล้วก็ต้องรักษาหุ่นเดิมนั้นไว้ห้ามอ้วนขึ้นเด็ดขาดเพราะเบาะของ Aston Martin Valkyrie ราคาเกิน 100 ล้านบาท จะไม่ Fit for you คนเดิมอีกต่อไป และนี่คือความท้าทายเพราะกว่ารถจะถูกส่งมอบได้ก็ปาเข้าไปปี 2019

Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

          และเมื่อถึงตอนนั้นขนาดของร่างกายไม่ขยายเพิ่มก็คงจะเป็นอะไรที่น่าอิจฉามาก เพราะ Aston Martin Valkyrie จะเป็นไฮเปอร์คาร์ที่สามารถวิ่งบนถนนได้อย่างเร้าใจสุดขั้ว ซึ่ง Aston Martin ไม่สนความเร็วสูงสุดของ Valkyrie เลยเพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับรถแข่ง Formula One เนื่องจากไม่มีสนามไหนให้ได้วิ่งกันจนสุดความเร็วปลายอยู่แล้วและถนนส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ดังนั้นตัวแปรสำคัญของชัยชนะจึงอยู่ตรงที่ใครเหยียบเบรกได้ช้าสุดก่อนมุดโค้ง (ในอดีตรถแข่งของ Jaguar ที่มีกำลังเครื่องยนต์น้อยกว่าก็ใช้ทริกนี้เอาชนะรถแข่งของ Mercedes-Benz ที่ทรงพลังกว่าด้วยการคิดค้นและนำดิสก์เบรกมาใช้ในสนามแข่งเป็นรายแรกมาแล้ว) และกระโจนออกจากโค้งได้เร็วสุดมากกว่า เพราะฉะนั้นความเร็วสูงสุดแทบจะไม่มีความสำคัญใด ๆ เลย
Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

          ทั้งนี้ในส่วนดีไซน์ของ Aston Martin Valkyrie ก็จะเหมือนกับรถโปรโตไทป์ AM-RB 001 ที่พยายามออกแบบตัวรถที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาหวิวให้สามารถสร้างแรงกดมหาศาลด้วยการจัดเรียงกระแสลมไหลผ่านไปทางใต้ท้องรถออกไปยังท้ายรถอย่างเป็นระเบียบ ดังนั้นด้านบนจึงเรียบลื่นไร้สปอยเลอร์ที่แสนจะแกะกะสายตาอีกทั้งยังส่งผลให้ Aston Martin Valkyrie เป็นรถที่มีไดนามิกยอดเยี่ยมในทุกความเร็ว ทั้งทางตรงและทางโค้ง

Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

Aston Martin Valkyrie

          อย่างไรก็ตามในส่วนของขุมพลังล่าสุด Aston Martin ก็ยังไม่ได้กล่าวถึงอะไรมากมาย ซึ่งหากจะอ้างอิงจากตอนเปิดตัว Aston Martin AM-RB 001 ไฮเปอร์คาร์ชื่อนางฟ้าแห่งความตาย (Valkyrie) นี้จะใช้เครื่องยนต์ V12 ที่ปราศจากระบบอัดอากาศวางกลางลำ โดยจะมีพละกำลังในอัตราส่วน แรงม้าต่อน้ำหนักแบบ 1:1 หรือม้า 1 ตัวจะต้องแบกน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัม เท่านั้น ส่วนระบบกันสะเทือนน่าจะเป็นแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ โช้คอัพอินบอร์ด เหมือนรถแข่งในสนามเด๊ะ ๆ หรือถ้าจะบอกว่า Aston Martin Valkyrie คือรถ Formula One เวอร์ชั่นที่ขับบนถนนสาธารณะได้อย่างถูกกฏหมายก็น่าจะใกล้เคียงที่สุด

          ไม่ต้องห่วงเลยว่า Aston Martin Valkyrie ราคาแพงระยับจับจิตที่จำกัดจำนวนการผลิตไว้ไม่เกิน 150 คัน (รวมรถโปรโตไทป์และรถแข่ง 25 คันด้วย) จะขายไม่ออกเพราะถูกจองไปหมดเกลี้ยงแล้ว แต่เรื่องที่น่ากังวลสุดคือเรือนร่างที่มักจะเอาแน่เอานอนไม่ได้มากกว่า...แต่ลืมไปนั่นคงไม่ใช่ปัญหาของเราหรอก

5.Ferrari Pininfarina Sergio

 Ferrari Sergio ซูเปอร์คาร์แต่งเต็มเปิดประทุนใหม่จากต้นแบบสุดลือลั่นเมื่อปี 2013 ผลิตเพียง 6 คันบนโลกเท่านั้น

           ค่ายซูเปอร์คาร์เฟอร์รารี (Ferrari) เปิดตัวซูเปอร์คาร์รุ่นพิเศษใหม่ล่าสุด ฉลองให้กับสุดยอดนักออกแบบคู่บุญของเฟอร์รารีกับ เฟอร์รารี เซอร์จิโอ (Ferrari Sergio) ซูเปอร์คาร์เปิดประทุนดีไซน์สวยสดใหม่ที่ผลิตขึ้นเพียง 6 คันบนโลกเท่านั้น

           เฟอร์รารี เซอร์จิโอ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์จิโอ พินินฟารินา นักออกแบบผู้ก่อตั้งสำนักออกแบบชื่อดัง พินินฟารินา (Pininfarina) ซึ่งรถดังกล่าวดัดแปลงมาจากต้นแบบ เฟอร์รารี พินินฟารินา เซอร์จิโอ (Ferrari Pininfarina Sergio) ที่เปิดตัวเมื่อปี 2013 และแน่นอนว่าเส้นสายของรุ่นผลิตจริงก็ถูกขัดเกลาด้วยทีมงานพินินฟารินาเช่นกัน

Ferrari Sergio
           รถเปิดประทุนรุ่นพิเศษนี้ใช้โครงสร้างของเฟอร์รารี 458 สไปเดอร์ (Ferrari 458 Spyder) แต่เพิ่มเติมชิ้นส่วนสีดำในบริเวณกระจังหน้า กันชนหน้า เชื่อมไปยังสเกิร์ตข้างและยกสูงเชื่อมต่อกับโรลบาร์ พร้อมกับเพิ่มชิ้นสีดำบริเวณไฟท้ายด้วย ส่วนภายในนั้นยกมาจากรุ่น 458 ทั้งหมด หุ้มเบาะและคอนโซลด้วยหนังและผ้าอัลคันทารา ส่วนพวงมาลัยติดตราคำว่า Sergio แสดงความพิเศษของรุ่นนี้

           ด้านสมรรถนะมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4,500 ซีซี ให้กำลัง 605 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที

           เฟอร์รารี เซอร์จิโอ ผลิตเพียงแค่ 6 คันเท่านั้น และถูกจองหมดเป็นที่เรียบร้อยภายในวันเปิดตัว


6.bugatti chiron(Bugatti Veyron) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูงเครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสี่ล้อ (M4) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดย บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส บูกัตติ[3] ซึ่งเป็นบริษัทในเครือโฟล์คสวาเก็น เป็นรถต้นแบบที่ออกแบบขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1999 ใช้ชื่อว่า EB 18/4 "Veyron" เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ที่ งานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ออกแบบโดย นักออกแบบรถยนต์ชาวสโลวาเกีย โจเซฟ แคแบน ( Jozef Kaban )[4]
บูกัตติ เวย์รอน อีบี 16.4
Bugatti Veyron 16.4 – Frontansicht (3), 5. April 2012, Düsseldorf.jpg
บูกัตติ เวย์รอน อีบี 16.4
ภาพรวม
บริษัทผู้ผลิตบูกัตติ (โฟล์กสวาเกน)
เริ่มผลิตเมื่อ
  • ค.ศ. 2005–2011 (เวย์รอน 16.4)
  • 2009–2015 (แกรนด์สปอร์ต)
  • 2010–2011 (ซูเปอร์สปอร์ต)
  • 2011–2015 (แกรนด์สปอร์ตวิเทสส์)
แหล่งผลิตมอลไซม์แคว้นอาลซัส, ประเทศฝรั่งเศส
ผู้ออกแบบโจเซฟ แคแบน (Jozef Kabaň)[1]
ตัวถังและช่วงล่าง
ประเภทรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง(Sports car)
รูปแบบตัวถัง
  • 2-door คูเป (16.4, ซูเปอร์สปอร์ต
  • 2 ประตู ทาร์กาท็อป (แกรนด์สปอร์ต, แกรนด์สปอร์ตวิเทสส์)
โครงสร้างเครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสี่ล้อ (M4)
จำนวนประตู2 แบบบานเปิดธรรมดา
รุ่นที่คล้ายกันออดี โรสมีเยอร์
เบนท์ลีย์ ฮูเนาดายเรส
ลัมโบกีนี เดียโบล วีที
ระบบส่งกำลัง
เครื่องยนต์รุ่นมาตราฐาน (คูเป), แกรนด์สปอร์ต (โรดสเตอร์):
8.0 ลิตร (488 ลบ. นิ้ว) W16 ควอด-เทอร์โบชาร์จ 736 kW (1,001 PS; 987 bhp)[2]
ซูเปอร์สปอร์ต (คูเป), แกรนด์สปอร์ตวิเทสส์ (โรดสเตอร์):
1,200 PS (883 kW; 1,184 bhp)
ระบบเกียร์เกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ
มิติ
ระยะฐานล้อ2,710 มม. (106.7 นิ้ว)
ความยาว4,462 มม. (175.7 นิ้ว)
ความกว้าง1,998 มม. (78.7 นิ้ว)
ความสูง1,159 มม. (45.6 นิ้ว)
น้ำหนัก1,888 กก. (4,162 ปอนด์)
ระยะเหตุการณ์
รุ่นก่อนหน้าบูกัตติ อีบี 110
รุ่นต่อไปบูกัตติ ชิรอน
บูกัตติ เวย์รอน ได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยสถิติความเร็วสูงสุด 431.072 กิโลเมตร/ชั่วโมง ( ในรุ่น Super Sport ) ซึ่งเร็วกว่า เอสซีซีเอโร่ (SCC AERO) ที่ทำได้ 412.29 กิโลเมตร/ชั่วโมง (สำหรับ เวย์รอนรุ่นแรกนั้นสร้างความเร็วสูงสุดได้ที่ 408.47 กิโลเมตร/ชั่วโมง)[5] และวันที่ 13 เมษายน ปี ค.ศ. 2013 บูกัตติ เวย์รอน ก็ได้บันทึกสถิติใหม่ ด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่โรสเตอร์เคยมีมา ด้วยรุ่น เวย์รอน แกรนด์ สปอร์ต วิเทสส์ ( Veyron Grand Sport Vitesse) ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 408.84 km/h[6]
บูกัตติ เวย์รอน แต่ละคันมีราคาสูงถึง 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 165 ล้านบาท เมื่อนำเข้าไทย จึงทำให้บูกัตติ เวย์รอน เคยได้รับการจัดอันดับเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูงที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 อยู่อย่างเสมอ ถึงแม้จะตกจากอันดับ 1 ไปก็ตาม
บูกัตติ เวย์รอน ได้รับรางวัล "รถแห่งทศวรรษ" (Car of the Decade) ประจำช่วงปี ค.ศ. 2000 – 2009 จาก รายการท็อปเกียร์ ของบีบีซี และยังได้รับรางวัลจากท็อปเกียร์ ในปี ค.ศ. 2005 ว่า "เป็นรถที่ขับขี่ดีที่สุดในทุกๆปี" ( Best Car Driven All Year)

1.Mclaren P1 LM รถยนต์นั่งปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูง   (Plug-in hybrid sport car) เครื่องยนต์กลางลำหลัง ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (RMR) 2 ประตู 2 ท...